วันพฤหัสบดีที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2558

ปั่นเดี่ยวชมทิวทัศน์

     ผมไม่ได้แตะเสือหมอบคู่ใจตั้งแต่เดือนพฤษภาคมมาแล้ว ระยะนี้ไม่มีโอกาสได้ไปปั่นทางไกล จึงใช้เสือภูเขาปั่นในระยะใกล้ๆวันละไม่เกิน 28 กิโลเมตร โดยการปั่นเสือภูเขาขึ้นเขารังเพื่อเอากำลังขาหนึ่งรอบ ต่อจากนั้นก็จะไปขี่รอบๆเกาะสิเหร่พอให้เหนื่อยเล่น แล้วแวะไปจุดชมวิวศิลาพันธ์ุตามธรรมเนียมก่อนจะไปจบที่สะพานหินถิ่นเก่า



ภาพถ่ายจากเขาโต๊ะแซะ มองเห็นเกาะยาวอยู่ไกลสุด


เจ้าพ่อแห่งเขาโต๊ะแซะ

จุดชมวิวศิลาพันธ์ุ



ดื่มน้ำสักอึก พอหายเหนื่อยแล้วค่อยปั่นต่อ

     ที่สะพานหิน :

    ระยะนี้กรมเจ้าท่ากำลังขุดลอกร่องน้ำตรงคลองกอจ๊าน มาที่นี่ทีไรก็ต้องแวะดูเรือแล้วถ่ายรูปเป็นที่ระลึกทุกครั้ง



สวนสาธารณสะพานหิน..วันนี้มากับ MTB



เรือขุดลอกร่องน้ำ ที่ปากคลองกอจ๊าน


     วันนี้ก็แวะมาที่นี่อีกวัน โดยเอาเสือหมอบไปขี่เป็นวันแรก ดูแล้วมันก็ยังเหนื่อยเหมือนเดิมไม่ต่างจากเสือภูเขาสักเท่าไร ต่างกันแต่ว่าวันนี้ไปแหลมพันวาไม่จำเจที่เกาะสิเหร่เช่นหลายๆวันที่ผ่านมา เหนื่อยตอนปั่นขึ้นเนินไทยซาร์โก้นิดหน่อยแต่ก็พอทนไหว ไปแวะถ่ายรูปที่ท่าเทียบเรือของกองเรือภาคที่3ก่อนกลับ


สะพานท่าเทียบเรือ อากาศกำลังดี


ดูอีกมุม



เรือสำรวจทางทะเล กรมทรัพยากรทางทะเล

   กลับจากท่าเทียบเรือ Navy pierก็มาแวะดูเรือขุดลอกร่องน้ำที่สะพานหินอีกครั้ง ได้เห็นเรือขุดลอกร่องน้ำกำลังทำงานอยู่พอดี

สวนสาธารณสะพานหิน..วันนี้มากับเสือหมอบ


เรือขุดลอกร่องน้ำกำลังทำงาน


เรือเหล็กของกรมเจ้าท่ากำลังพาลูกเรือไปขึ้นฝั่งที่อยู่ไม่ห่าง



พลบค่ำที่สะพานหิน(iso400)


ตกปลา..ยามเย็น อรรถรสอีกแบบของชีวิต




วันจันทร์ที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2558

คุยเล่นๆกับจักรยานราคาหลักแสน

   
       ผมก็อดที่จะเผลอคล้อยตามความคิดด้านลบของตัวเองที่รู้สึกว่ารถที่เราปั่นมาตลอดเวลาเริ่มจะมีน้ำหนักมากขึ้นทุกวัน รถของคนอื่นดีกว่าของเรา..อะไรทำนองนี้...เข้าหลักย้ำคิดย้ำทำจนกลายเป็นกิเลสของการอยากอัพเกรดขึ้นมา บางคนก็แนะนำว่าให้ลองเปลี่ยนล้อก่อนซิใช้ลูกปืนดีๆจะทำให้ความฝืดลดลงรถก็จะแล่นได้เบาขึ้น ผมคล้อยตามและสัมผัสได้ทันทีว่า รถที่เราปั่นอยู่ทุกวันมันหมือนกับเรากำลังขี่ไปพลางเบรคไปพลาง ตัดสินใจทันที วันนี้ต้องไปอัพเกรดล้อให้ได้่จึงไปถามหาในงานนิทัศนาการจักรยานแห่งหนึ่ง ก็ได้ความว่า วงล้อไฟเบอร์ดีๆลดราคาแล้วตกคู่ละ 45,000บาทเอง ผมจึงต้องขอถอยกรูดออกมาตั้งหลักก่อน





     ผมกัดฟันกรอด นึกโกรธตัวเองที่ไปถามราคาแบบไม่มีชั้นเชิงจนรู้สึกเสียศักดิ์ โมโหตัวเองไม่น้อยที่ไม่ถามกระเป๋าตัวเองก่อนไปสอบถามราคา แต่ก็ยังดีที่ยังเหลือศรีไว้ทำเฉไฉทำไปดูรถอีกคัน เป็นรถราคาระดับกลาง(เขาว่า) ราคาเบาๆแค่  255,500 ผมกลืนน้ำลายเอื๊อก คิดเอาว่า วันนี้แค่ดูไว้เป็นทานตา รอวันมีปัญญา(ตังค์เหลือเฟือ)แล้วค่อยซื้อ แข่งจักรยานพอแข่งไหวแต่แข่งความเป็นจริงมันแข่งกันไม่ได้  ยังไงเรายังไม่เหมาะที่จะใช้อุปกรณ์และจักรยานราคาขนาดนั้นอยู่ดี




                           

    เพราะน้ำหนักที่ลดลงแต่ละ100กรัม มีมูลค่าการลดน้ำหนักถึง 10,000 บาท ดังนั้นโดยตรรกแล้ว ถ้าผมจะใช้จักรยานที่เบาลงกว่าเดิม 1 กิโลกรัม ผมก็ต้องมีค่าใช้จ่ายในการลดน้ำหนักถึง 100,000 บาท เมื่อผมยอมจ่ายไปหนึ่งแสนแล้วผมก็จะได้จักรยานคันเดิมที่ปั่นได้เบาขึ้นเพื่อจะไปปั่นทางไกลได้สนุกขึ้นและเหนื่อยน้อยลง

     แต่ไม่ว่าจะลดน้ำหนักจนรถเบาแค่ไหน น้ำหนักรถประจำตัวของผมจะหนักเกินพิกัด 1 กิโลกรัมอยู่เสมอเพราะผมจะต้องพกน้ำติดรถไม่ต่ำกว่า 1 ลิตรในการปั่นแต่ละทริป หมายความว่า มูลค่าน้ำของผม มีค่าขนส่งตกลิตรละ 100,000 บาท ตี๊ต่างว่าผมเป็นคนฉลาดเฉียบแหลม ผมเลยเปลี่ยนขนาดกะติกให้เหลือ 500ซีซี ก็จะเสียค่าแบกน้ำหนักคิดเป็นมูลค่าเงินแค่ 50,000 บาทแทน แต่พอคิดไปคิดมา 50,000ก็ยังเป็นค่าแบกที่ยังแพงอยู่ดี ไหนๆก็ไหนๆแล้ว ในเมื่อลงทุนตั้งแสนในการลดน้ำหนักรถลง1กิโลแล้ว ก็อย่าไปเพิ่มน้ำหนักรถจากการพกน้ำ 1 ลิตร อีกเลย ไปขอเขากินเอาข้างหน้าแล้วกัน


โฆาณาให้ฟรีครับ


   ก็นานาจิตตังแล้วแต่จะคิดละกันครับ ลองไปดูคอมเมนต์ในเว็ปพันธ์ทิพย์เกี่ยวกับจักรยานราคาแสนกันดูบ้าง


ความคิดเห็นที่ 26
จักรยาน 2-3 แสนถ้าได้ใช้บ่อย ไม่ใช่ค่าจักรยานหรอกครับ เป็นค่่าสุขภาพกายและสุขภาพใจมากกว่า คุ้มค่ามากๆครับ ถ้าไม่ได้ใช้ 2-3 พัน ก็แค่นั้น
จากคุณ: keng_zebra 



ความคิดเห็นที่ 35 ติดต่อทีมงาน
หลังๆมันจะกลายเป็นห้องอวดอุปกรณ์ราคาจักรยานละ

ถามว่าโง่ไหมไม่โง่ครับ แต่ถ้าจะให้รถเบาขึ้น 1 โลด้วยเงิน 1 แสน ผมว่าลดน้ำำหนักตัวเองดีกว่า


จากคุณ: ร้อยความเห็น
เขียนเมื่อ: 24 เม.ย. 54 08:17:11 A:124.121.59.67 X: TicketID:306875



ความคิดเห็นที่ 52
คันนี้รถ vintage ราคาซื้อ 8000 บาท หนักประมาณ 12 กก ปั่นซ้อมได้ แต่ให้ปั่นเป็นวัน ไม่มัน เหนื่อยมากๆ เกิน จะให้เอาไปอยุธยา ถ้ามีคันเดียวผมก็เอาไปได้ครับ

ใครบอกว่า ลด นน. ตัวเองดีกว่า คือคนที่ไม่ใช่นักปั่นจริง จักรยานเบามันมีคุณค่าในการปั่นสนุกกว่าครับ






   มาคิดอีกทีก็เห็นด้วยกับความคิดเห็นที่ 35 ผมเองก็น้ำหนัก 73 กิโล ถ้าผมลดเหลือ 70 หายไป 3 กิโลก็คิดมูลค่าน้ำหนักที่ลดลงก็เท่ากับ 300,000บาท ถ้าอย่างนั้นผมก็ขอลดน้ำหนักตัวเอง 3กิโลดีกว่า การลด 3กิโลจะทำให้รถต้องแบกน้ำหนักเบาลง 3 กิโล เมื่อเทียบเป็นมูลค่าน้ำหนักรถที่ลดลงก็เท่ากับ 300,000 บาท งั้นผมขอเลือกแบบนี้ไปพลางๆน่าจะเป็นการประหยัดเงินโดยไม่ต้องไปทำอะไรกับรถ ส่วนความเห็นที่ 52ผมก็คิดเอาว่า เออ...ถ้าจะจริงเหมือนกันแฮะ!เพราะที่ผมปั่นทุกวันนี้กว่าจะครบ70กิโล ผมแทบจะกระอักโลหิตออกมาเป็นน้ำก๊อกไปเลย.



วันอังคารที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2558

ก่อนจะถึง "ฝนแรก" ที่ภูเก็ต

     ด้วยความที่อยากได้ชื่อว่าเป็นนักปั่นก็ต้องคุยไว้ก่อนว่าไม่กลัวแดดไม่เกรงฝน แดดจะต้องไม่ใช่ปัญหาของปั่นโดยเฉพาะที่ภูเก็ตที่ทั้งปีจะมีฝนแค่สี่แต่มีแดดเสียแปด(ตรงข้ามกับระนองที่เป็นเมืองฝนแปดแดดสี่) แม้แดดที่ภูเก็ตดูเหมือนจะแรงแต่ก็ไม่ร้อนอ้าวแบบแดดที่อื่น ความเป็นเกาะทำให้มีลมทะเลพัดปะทะหน้าตลอดเวลา แม้จะเสียเหงื่อมากแต่นักปั่นระยะกลาง(ต่ำกว่า100กิโล)ก็ไม่รู้สึกร้อนจนทนไม่ไหว

   นักปั่นหลายคนนิยมออกปั่นตอนสายๆ ก็จะระวังไม่ให้แดดสัมผัสผิวโดยตรงโดยเฉพาะสาวๆนักปั่นทั้งหลายจะสรวมปลอกแขนคลุมถึงข้อมือ ใส่ถุงมือขณะปั่นกันทุกคน บางคนมีผ้าคลุมหน้าปิดปากปิดจมูกพร้อมกับมีแว่นกันแดดเก๋ๆหลากสีกันแทบทุกนางและในช่วงสุดสัปดาห์ นักปั่นที่มีสังกัด(มีก๊วน)ส่วนใหญ่จะออกทริปปั่นระยะกลาง(ต่ำกว่า100กิโล-ไปกลับ)กันตั้งแต่เช้ามืด ทุกคนให้ความเห็นว่ามันอันตรายเกินไปที่จะปั่นตอนกลางคืน    

    แม้จะไม่บ่อยนักแต่ก็เคยพบนักปั่นทางไกลปั่นตอนกลางคืนอยู่หลายครั้ง นักปั่นกลุ่มนี้ให้ความเห็นว่า การปั่นกลางคืนมีความปลอดภัยมากกว่าปั่นตอนกลางวัน ด้วยการจราจรบนถนนไม่หนาแน่นเท่าตอนกลางวัน นอกจากนี้ การปั่นตอนกลางวันอากาศโดยทั่วไปจะร้อน ทำให้เปลืองพลังงาน เหนื่อยและมีอาการเพลียแดด ทำระยะทางแต่ละวันได้น้อยกว่าการปั่นตอนกลางคืน

     มีนักปั่นทางไกลคนหนึ่ง(ที่เรียกตัวเองว่านายกระจอก)ใช้เวลาเกือบครึ่งเดือนปั่นจากกรุงเทพมาถึงภูเก็ต  มีบางวันที่นายกระจอกต้องทำระยะทางเกิน 130 กิโลเพื่อให้ถึงที่หมายตามแผนซึ่งระยะทางดังกล่าวจะทำได้ก็ต้องรวมกับระยะทางปั่นตอนกลางคืนเข้าไปด้วย ผมเห็นด้วยกับความคิดนี้และคิดว่าสักวันถ้ามีโอกาสได้ปั่นทางไกลผมจะปั่นตอนกลางคืนแล้วจะพักตอนกลางวัน จะไม่ยอมปั่นกลางแสงแดดทั้งวันอย่างแน่นอน หลายคนต่างให้ความเห็นโต้แย้งเชิงถากถางว่า ผมชอบฝันกลางแดดและผมก็ยอมรับเพราะแม้จะเป็นการสวนกระแสกับความคิดของคนส่วนใหญ่ แต่การปั่นตอนกลางคืนตอนอากาศเย็นสบาย ต้องดีกว่าการปั่นกลางวันท่ามกลางแดดร้อนเป็นไหนๆ แม้ผมจะไม่ค่อยกลัวแดด(ตามอย่างคนอื่น)แต่ผมก็ไม่อยากเป็นลมแดดเพราะแดดร้อน ผมอายเด็ก

       แต่แล้วผมก็พบปัญหาจากการปั่นกลางคืนเข้าจนได้

   ตอนช่วงสงกรานต์ ปี 2558 ผมมีเวลาว่างอยู่5วัน ไม่มีแผนจะไปเที่ยวที่ไหนจึงวางแผนจะปั่นระยะทางต่ำกว่า100กิโลแบบเที่ยวเดียวจากหาดท่าไทรฝั่งพังงากลับมาภูเก็ต ในระยะทาง 68-70 กิโลเมตรซึ่งถ้าหากปั่นแบบสบายๆจะใช้เวลาปั่นประมาณ 3 ชั่วโมงครึ่ง(ไม่รวมเวลาพัก)ซึ่งผมเห็นแล้วว่าไม่เป็นปัญหากับผมอย่างแน่นอน

    วันนั้น(12 เมษายน2558) ได้นำจักรยานสองคันใส่ท้ายกะบะไปที่ท่าไทร คิดว่าจะปั่นจากที่นั้นกลับมาภูเก็ต โดยออกตัวจากหาดท่าไทรไม่เกิน 15:00 น. มีกำหนดกลับถึงภูเก็ตประมาณ1ทุ่ม  แต่ฝนก่อนฤดูได้ตกตอนบ่ายสามโมงพอดี ทำให้แผนที่วางเอาไว้ต้องเลื่อนออกไป กว่าฝนจะหยุดตกก็ประมาณ 5 โมงเย็นไปแล้วทำให้การออกจากจุดออกตัวต้องล่าช้ากว่าแผนไปสองชั่วโมง


     กว่าจะออกจากท่าไทรก็เลย 5โมงเย็นไปแล้ว รู้ล่วงหน้าแล้วว่าผิดเวลาไปมากและจะมีปัญหากับการจราจรตอนเข้าเมืองภูเก็ตอย่างแน่นอน อันตรายจะมากขึ้นเมื่อเข้าใกล้ตัวเมืองภูเก็ตหลังจากเวลา 1 ทุ่มไปแล้ว

   การออกตัวสาย ทำให้ต้องปั่นเร็วตั้งแต่เริ่มเพื่อไม่ให้ติดค่ำตั้งแต่ฝั่งพังงา การปั่นเร็วทำให้เหนื่อยมากกว่าปรกติและเสียพลังงานไปมาก ต้องแวะพักเหนื่อยดื่มน้ำเกลือแร่ที่โคกกลอยพร้อมกับเติมลมยางไว้ต้อนรับระยะทางอีก 52กิโลเมตรข้างหน้า พักกันพอหายเหนื่อยก็ออกเดินทางต่อทันที ใชเวลาไม่ถึง20นาทีก็มาถึงสะพานสารสินไหนๆมันก็สายจนผิดแผนไปแล้วก็เลยถือโอกาสแวะพักที่จุดชมวิวสารสินเสียหน่อย 

     การมาถึงสารสินหลัง 6 โมงเย็นไปแล้วทำให้การปั่นทริปนี้ส่อแววว่าจะมีปัญหาอย่างแน่นอน บนจุดชมวิวไม่มีจักรยานอยู่แม้แต่คันเดียว โดยทั่วไปจักรยานที่จะเข้าเมืองภูเก็ตจะต้องออกจากสารสินไม่เกิน 16.30 น.เป็นอย่างช้า 

    วันนั้นท้องฟ้าหลังหกโมงเย็นกำลังโปร่งสบายกับแสงสุดท้ายของวัน มีนักท่องเที่ยวอยู่บนจุดชมวิวสารสินอย่างหนาตา มีหลายคนเข้ามาทักทายและถามว่าจะไปไหน เมื่อทราบว่าเราจะไปภูเก็ตเขาก็ทักท้วงว่าทำไมจะเข้าภูเก็ตในช่วงเวลานี้ 

    ก็จริงอย่างที่ว่า ระยะทางที่รออยู่ข้างหน้าอีก43กิโลเมตรแม้จะไม่ใช่ปัญหาเรื่องกำลัง แต่การปั่นกลางคืนบนถนนที่มีการจราจรคับคั่งในช่วงเวลานี้จะอันตรายมาก จากการคำนวณเวลาอย่างหยาบๆ ถ้าปั่นด้วยความเร็วคงที่ 20-25 กิโลเมตรต่อชั่วโมงอย่างระมัดระวัง เราก็จะถึงภูเก็ตประมาณ 3 ทุ่มเป็นอย่างช้า เมื่อคิดได้ดังนี้แล้วก็ตัดความกังวลเรื่องเวลาออกไปทันที ถือเป็นการปั่นกลางคืนเป็นครั้งแรกก็แล้วกัน

     หลังจากพักที่จุดชมวิวสารสินประมาณ 20 นาทีจนหายเหนื่อยแล้ว ก็บึ่งเข้าภูเก็ตกันตอนฟ้าเริ่มมืด มีการสับเปลี่ยนรถกัน ผมหันมาขี่เสือภูเขาให้เพื่อนร่วมทางขี่เสือหมอบแทน เสื่อภูเขาได้ออกนำก่อน 5 นาทีเพราะนอกจากเสือภูเขาจะเสียเปรียบเรื่องน้ำหนักรถและความเร็วแล้ว คนปั่นเสือหมอบยังได้เปรียบเรื่องวัยชนิดที่ไม่รู้จะเปรียบเทียบกันยังไง

    วันนั้นมีรถจากต่างจังหวัดเข้าภูเก็ตค่อนข้างหนาตาเป็นพิเศษ มีรถติดตรงด่านตรวจยาวกว่า2กิโลเมตร แต่จักรยานใช้พื้นที่ผิวจราจรไม่มากจึงแทรกช่องว่างไปได้สบาย  เสือหมอบตามมาทันตรงด่านตรวจพอดีแต่ก็ผ่อนความเร็วลงให้เสือภูเขาปั่นล่วงหน้าไปก่อนอีกครั้ง

      เหงื่อที่กำลังซึมออกมาเล็กน้อยกับอากาศเย็นๆตอนพลบค่ำ ทำให้ปั่นสบาย การใช้จานหน้ากลาง จานหลังระดับ 6-7 สามารถทำความเร็วแบบยืนระยะได้เฉลี่ย 27-32 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ตลอดเส้นทางมีช่วงขึ้นเนินยาวๆแค่ช่วงเดียว ซึ่งความเร็วก็ลดลงไปบ้างตามกฏของความโน้มถ่วง แต่พอลงลงเนินอีกด้านของเนิน500(ชาวบ้านเรียกแบบนี้) ก็ได้ถือโอกาสผ่อนพักขาปล่อยให้รถไหลไปตามแรงกราวิตี้จนเสือหมอบปั่นตามมาเกือบทันในระยะห่างประมาณ100เมตร ตระหนักดีว่าอีกไม่เกิน 1 กิโล เสือภูเขาคงหมดแรงต้องปล่อยให้เสือหมอบปั่นแซงไปอย่างแน่นอน

       ดูเหมือนเสือหมอบจะยอมออมมือไม่แซงเป็นการไว้หน้าผู้สูงวัยกว่า เสือภูเขาก็เลยได้ใจปั่นต่อโดยไม่ยอมลดความเร็ว จนมาถึงจุดนัดพบที่สถานีบริการน้ำมันเชลล์ตรงทางแยกเข้าสนามบิน(เส้นเก่า)ตรงบ้านหมากปรก

      เสือภูเขามาถึงจุดนัดพบก่อนเสือหมอบแต่ก็หอบเหนื่อยจนหายใจแทบไม่ทัน น้ำในกระติกยังเหลืออีกค่อนครึ่ง แต่ก็ขยักไว้ดื่มระหว่างทางก่อนจะถึงจุดพักข้างหน้า ระหว่างจอดคอยก็ถือโอกาสพักปอดพักขา คิดว่าจะกระเซ้าเสือหมอบสักหน่อยว่าทำไมเสือหมอบจึงไม่ยอมวิ่ง เอาแต่หมอบแล้วเมื่อไรจะถึงภูเก็ต 

     พักแค่ 5 นาทีก็หายเหนื่อยพร้อมจะไปต่อแต่เสือหมอบเจ้าปัญหายังมาไม่ถึง สงสัยว่าทำไมเสือหมอบยังมาไม่ถึงจุดนัดพบเสียที เกิดอะไรขึ้น หรือว่าเสือหมอบปั่นเลยจุดนัดพบไปแล้ว ฯลฯ และ ฯลฯ ประดังเข้ามาในหัว

     คอยอยู่สักพักใหญ่ก็เริ่มจะวิตกทนรอต่อไปไม่ไหว ต้องทำอะไรสักอย่าง เวลาช้าขนาดนี้ต้องเกิดเหตุอะไรสักอย่างเป็นแน่ รถอาจจะมีปัญหายางรั่วหรือไฟหน้าไม่ติดหรือคนปั่นเป็นตะคริวปั่นต่อไม่ไหว เมื่อไฟท้ายเสือภูเขายังกระพริบอยู่ก็ไม่รู้จะรอไปทำไม จับรถขี่ย้อนศรกลับเส้นทางเดิมไปตามหาทันที คิดในทางที่ดีว่า รถอาจจะยางรั่วอยู่ข้างหน้าไม่ไกล   แต่กิโลแล้วกิโลเล่าที่ขาต้องปั่น ตาก็ต้องคอยสังเกตุรถที่แล่นสวนมา มีรถสวนมาหลายคัน ทำใหารู้ทันทีว่าการปั่นกลางคืนมีอันตรายทุกย่างก้าว ไฟหน้ารถที่สวนมาส่วนใหญ่มีขนาดใหญ่กว่าไฟจักรยาน เลยกิโลที่4ไปแล้วรถแล่นสวนมาด้วยความเร็วไม่ขาดสาย ต้องแอบข้างขอบทางตลอด มองยังไงก็ยังไม่เห็นเสือหมอบปั่นสวนมาสักที

    ยิ่งกังวลมากเท่าไดเท้าก็ยิ่งปั่นหนักและเร็วขึ้นอย่างลืมเหนื่อยเท่านั้น เมื่อคำนวณระยะทางตามพิกัดของจุดที่แยกทางกันครั้งสุดท้ายแล้วรัศมีไม่น่าจะเกิน 10 กิโล ถ้าเกิน 10 กิโลแล้วยังหาไม่พบจะทำยังไง แล้ว ความคิดด้านลบเริ่มมาสะกิดสีข้างว่าปั่นมาร่วม5 กิโลแล้วก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะพบ เริ่มจะเห็นว่าการปั่นกลางวันท่ามกลางแดดเปรี้ยงๆแม้จะร้อนแต่มันก็ปลอดภัยกว่าการปั่นกลางคืนเป็นไหนๆ ไม่ต้องมาลำบากเหมือนตอนนี้ ..อ้าว.. ก็ไหนบอกว่าปั่นกลางคืนสบายกว่าทำไมตอนนี้มากลับข้างกันเสียแล้ว..แต่ผมคงไม่มีเวลาไปโต้เถียงกับเจ้ามโนสำนึกเหลวไหลที่มักจะคอยซ้ำเติมจนผมรู้สึกแย่อยู่เสมอ 
    
       การปั่นกลางคืนครั้งนี้เป็นทริปแรกและเป็นระยะทางสั้นๆสำหรับผม โชคเข้าข้างที่ไม่มีเหตุร้ายเกิดขึ้นในทริปนี้ ผมเห็นเด็กหนุ่มยืนอยู่ริมถนนข้างหน้าไม่ไกลภายใต้เงาแสงไฟที่ค่อนข้างสลัว มีเจ้าเสือหมอบคันแสบจอดสงบอยู่ข้างๆ เขากำลังคอยให้ผมกลับไปกู้ภัยอย่างใจเย็นและเชื่อมั่นว่าผมต้องกลับมารับเขา โทรศัพท์เขาก็ไม่พกติดตัว หมวกกันน็อคก็ไม่ใส่ ทั้งเนื้อทั้งตัวไม่มีอะไรเลย ช่างบังเอิญและโชคดีที่ยางเสือหมอบมารั่วในเขตชุมชน มีแสงสว่างพอให้เป็นที่สังเกตุเห็น ผมโล่งใจเหมือนยกภูเขาลูกย่อมๆออกจากอก ไม่ต้องถามอะไรกันมากเพราะความปลอดภัยคือคำตอบ มันเป็นทั้งรางวัลและบทเรียนเพียงพอสำหรับการปั่นกลางคืนทริปนี้

    การมีอุปกรณ์ปะยางและเครื่องสูบลมอยู่พร้อม ทำให้ปัญหาที่ดูเหมือนใหญ่กลายเป็นปัญหาเล็ก ผมลงมือปะยางโดยมีนักปั่นเสือหมอบเจ้าปัญหาคอยส่องไฟให้ มันแล้วเสร็จในเวลาแค่ยี่สิบนาที เรากล่าวขอบคุณเจ้าของบ้านที่เอื้อเฟื้อสถานที่และให้ความช่วยเหลือด้วยดีก่อนปั่นกลับไปยังจุดนัดพบด้วยกัน ทั้งเสือภูเขาทั้งเสือหมอบต่างสิ้นลายเสือเพราะความเหนื่อยและล้าด้วยกันทั้งคู่  ผมตกผลึกในความคิดทันทีว่าการปั่นจักรยานคนเดียวตอนกลางคืนนอกจากจะเหงาแล้วยังอันตรายมากอีกด้วย

    การปั่นทริปนี้จบลงที่40กิโลส่วนผมที่ต้องเป็นหน่วยกู้ภัยจำเป็นก็จบทริปที่50กิโล ถือว่าทริปนี้จบไม่สมบูรณ์ ก็ต้องว่ากันใหม่อีกครั้ง จะเมื่อไรที่ไหนก็ต้องไม่ใช่การปั่นตอนกลางคืนอีกแล้วเพราะอุปสรรคมันมากเกินกว่าที่คิดไว้ มีทางเลือกทางเดียวสำหรับผมคือยอมรับความจริงว่าผมยังมีความสามารถแค่ปั่นตอนกลางวันเท่านั้น  ต้องเลิกคิดเองแบบฝันกลางแดด หันมาหาความจริงกับทริปกลางวันใหม่ๆทั้งระยะกลางและระยะไกลที่รอให้ไปปั่นอีกมากไม่เห็นว่าจะมีความจำเป็นต้องมาปั่นตอนกลางคืนเลย แต่ปีนี้ฤดูการปั่นทริปทางไกลใกล้จะหมดลงแล้ว ฝนแรกน่าจะมาถึงภูเก็ตตอนกลางพฤษภาคมที่จะถึงนี้ คงจะมีโอกาสได้ปั่นระยะใกล้ๆในเกาะ ฝนภูเก็ตไม่ว่าฝนแรกหรือฝนไหนมันจะตกโดยไม่บอกกล่าวเสมอ...สมกับที่เป็นเกาะจริงๆ