ด้วยความที่อยากได้ชื่อว่าเป็นนักปั่นก็ต้องคุยไว้ก่อนว่าไม่กลัวแดดไม่เกรงฝน แดดจะต้องไม่ใช่ปัญหาของปั่นโดยเฉพาะที่ภูเก็ตที่ทั้งปีจะมีฝนแค่สี่แต่มีแดดเสียแปด(ตรงข้ามกับระนองที่เป็นเมืองฝนแปดแดดสี่) แม้แดดที่ภูเก็ตดูเหมือนจะแรงแต่ก็ไม่ร้อนอ้าวแบบแดดที่อื่น ความเป็นเกาะทำให้มีลมทะเลพัดปะทะหน้าตลอดเวลา แม้จะเสียเหงื่อมากแต่นักปั่นระยะกลาง(ต่ำกว่า100กิโล)ก็ไม่รู้สึกร้อนจนทนไม่ไหว
นักปั่นหลายคนนิยมออกปั่นตอนสายๆ ก็จะระวังไม่ให้แดดสัมผัสผิวโดยตรงโดยเฉพาะสาวๆนักปั่นทั้งหลายจะสรวมปลอกแขนคลุมถึงข้อมือ ใส่ถุงมือขณะปั่นกันทุกคน บางคนมีผ้าคลุมหน้าปิดปากปิดจมูกพร้อมกับมีแว่นกันแดดเก๋ๆหลากสีกันแทบทุกนางและในช่วงสุดสัปดาห์ นักปั่นที่มีสังกัด(มีก๊วน)ส่วนใหญ่จะออกทริปปั่นระยะกลาง(ต่ำกว่า100กิโล-ไปกลับ)กันตั้งแต่เช้ามืด ทุกคนให้ความเห็นว่ามันอันตรายเกินไปที่จะปั่นตอนกลางคืน
แม้จะไม่บ่อยนักแต่ก็เคยพบนักปั่นทางไกลปั่นตอนกลางคืนอยู่หลายครั้ง นักปั่นกลุ่มนี้ให้ความเห็นว่า การปั่นกลางคืนมีความปลอดภัยมากกว่าปั่นตอนกลางวัน ด้วยการจราจรบนถนนไม่หนาแน่นเท่าตอนกลางวัน นอกจากนี้ การปั่นตอนกลางวันอากาศโดยทั่วไปจะร้อน ทำให้เปลืองพลังงาน เหนื่อยและมีอาการเพลียแดด ทำระยะทางแต่ละวันได้น้อยกว่าการปั่นตอนกลางคืน
มีนักปั่นทางไกลคนหนึ่ง(ที่เรียกตัวเองว่านายกระจอก)
ใช้เวลาเกือบครึ่งเดือนปั่นจากกรุงเทพมาถึงภูเก็ต มีบางวันที่นายกระจอกต้องทำระยะทางเกิน 130 กิโลเพื่อให้ถึงที่หมายตามแผนซึ่งระยะทางดังกล่าวจะทำได้ก็ต้องรวมกับระยะทางปั่นตอนกลางคืนเข้าไปด้วย ผมเห็นด้วยกับความคิดนี้และคิดว่าสักวันถ้ามีโอกาสได้ปั่นทางไกลผมจะปั่นตอนกลางคืนแล้วจะพักตอนกลางวัน จะไม่ยอมปั่นกลางแสงแดดทั้งวันอย่างแน่นอน หลายคนต่างให้ความเห็นโต้แย้งเชิงถากถางว่า ผมชอบฝันกลางแดดและผมก็ยอมรับเพราะแม้จะเป็นการสวนกระแสกับความคิดของคนส่วนใหญ่ แต่การปั่นตอนกลางคืนตอนอากาศเย็นสบาย ต้องดีกว่าการปั่นกลางวันท่ามกลางแดดร้อนเป็นไหนๆ แม้ผมจะไม่ค่อยกลัวแดด(ตามอย่างคนอื่น)แต่ผมก็ไม่อยากเป็นลมแดดเพราะแดดร้อน ผมอายเด็ก
แต่แล้วผมก็พบปัญหาจากการปั่นกลางคืนเข้าจนได้
ตอนช่วงสงกรานต์ ปี 2558 ผมมีเวลาว่างอยู่5วัน ไม่มีแผนจะไปเที่ยวที่ไหนจึงวางแผนจะปั่นระยะทางต่ำกว่า100กิโลแบบเที่ยวเดียวจากหาดท่าไทรฝั่งพังงากลับมาภูเก็ต ในระยะทาง 68-70 กิโลเมตรซึ่งถ้าหากปั่นแบบสบายๆจะใช้เวลาปั่นประมาณ 3 ชั่วโมงครึ่ง(ไม่รวมเวลาพัก)ซึ่งผมเห็นแล้วว่าไม่เป็นปัญหากับผมอย่างแน่นอน
วันนั้น(12 เมษายน2558) ได้นำจักรยานสองคันใส่ท้ายกะบะไปที่ท่าไทร คิดว่าจะปั่นจากที่นั้นกลับมาภูเก็ต โดยออกตัวจากหาดท่าไทรไม่เกิน 15:00 น. มีกำหนดกลับถึงภูเก็ตประมาณ1ทุ่ม แต่ฝนก่อนฤดูได้ตกตอนบ่ายสามโมงพอดี ทำให้แผนที่วางเอาไว้ต้องเลื่อนออกไป กว่าฝนจะหยุดตกก็ประมาณ 5 โมงเย็นไปแล้วทำให้การออกจากจุดออกตัวต้องล่าช้ากว่าแผนไปสองชั่วโมง
กว่าจะออกจากท่าไทรก็เลย 5โมงเย็นไปแล้ว รู้ล่วงหน้าแล้วว่าผิดเวลาไปมากและจะมีปัญหากับการจราจรตอนเข้าเมืองภูเก็ตอย่างแน่นอน อันตรายจะมากขึ้นเมื่อเข้าใกล้ตัวเมืองภูเก็ตหลังจากเวลา 1 ทุ่มไปแล้ว
การออกตัวสาย ทำให้ต้องปั่นเร็วตั้งแต่เริ่มเพื่อไม่ให้ติดค่ำตั้งแต่ฝั่งพังงา การปั่นเร็วทำให้เหนื่อยมากกว่าปรกติและเสียพลังงานไปมาก ต้องแวะพักเหนื่อยดื่มน้ำเกลือแร่ที่โคกกลอยพร้อมกับเติมลมยางไว้ต้อนรับระยะทางอีก 52กิโลเมตรข้างหน้า พักกันพอหายเหนื่อยก็ออกเดินทางต่อทันที ใชเวลาไม่ถึง20นาทีก็มาถึงสะพานสารสินไหนๆมันก็สายจนผิดแผนไปแล้วก็เลยถือโอกาสแวะพักที่จุดชมวิวสารสินเสียหน่อย
การมาถึงสารสินหลัง 6 โมงเย็นไปแล้วทำให้การปั่นทริปนี้ส่อแววว่าจะมีปัญหาอย่างแน่นอน บนจุดชมวิวไม่มีจักรยานอยู่แม้แต่คันเดียว โดยทั่วไปจักรยานที่จะเข้าเมืองภูเก็ตจะต้องออกจากสารสินไม่เกิน 16.30 น.เป็นอย่างช้า
วันนั้นท้องฟ้าหลังหกโมงเย็นกำลังโปร่งสบายกับแสงสุดท้ายของวัน มีนักท่องเที่ยวอยู่บนจุดชมวิวสารสินอย่างหนาตา มีหลายคนเข้ามาทักทายและถามว่าจะไปไหน เมื่อทราบว่าเราจะไปภูเก็ตเขาก็ทักท้วงว่าทำไมจะเข้าภูเก็ตในช่วงเวลานี้
ก็จริงอย่างที่ว่า ระยะทางที่รออยู่ข้างหน้าอีก43กิโลเมตรแม้จะไม่ใช่ปัญหาเรื่องกำลัง แต่การปั่นกลางคืนบนถนนที่มีการจราจรคับคั่งในช่วงเวลานี้จะอันตรายมาก จากการคำนวณเวลาอย่างหยาบๆ ถ้าปั่นด้วยความเร็วคงที่ 20-25 กิโลเมตรต่อชั่วโมงอย่างระมัดระวัง เราก็จะถึงภูเก็ตประมาณ 3 ทุ่มเป็นอย่างช้า เมื่อคิดได้ดังนี้แล้วก็ตัดความกังวลเรื่องเวลาออกไปทันที ถือเป็นการปั่นกลางคืนเป็นครั้งแรกก็แล้วกัน
หลังจากพักที่จุดชมวิวสารสินประมาณ 20 นาทีจนหายเหนื่อยแล้ว ก็บึ่งเข้าภูเก็ตกันตอนฟ้าเริ่มมืด มีการสับเปลี่ยนรถกัน ผมหันมาขี่เสือภูเขาให้เพื่อนร่วมทางขี่เสือหมอบแทน เสื่อภูเขาได้ออกนำก่อน 5 นาทีเพราะนอกจากเสือภูเขาจะเสียเปรียบเรื่องน้ำหนักรถและความเร็วแล้ว คนปั่นเสือหมอบยังได้เปรียบเรื่องวัยชนิดที่ไม่รู้จะเปรียบเทียบกันยังไง
วันนั้นมีรถจากต่างจังหวัดเข้าภูเก็ตค่อนข้างหนาตาเป็นพิเศษ มีรถติดตรงด่านตรวจยาวกว่า2กิโลเมตร แต่จักรยานใช้พื้นที่ผิวจราจรไม่มากจึงแทรกช่องว่างไปได้สบาย เสือหมอบตามมาทันตรงด่านตรวจพอดีแต่ก็ผ่อนความเร็วลงให้เสือภูเขาปั่นล่วงหน้าไปก่อนอีกครั้ง
เหงื่อที่กำลังซึมออกมาเล็กน้อยกับอากาศเย็นๆตอนพลบค่ำ ทำให้ปั่นสบาย การใช้จานหน้ากลาง จานหลังระดับ 6-7 สามารถทำความเร็วแบบยืนระยะได้เฉลี่ย 27-32 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ตลอดเส้นทางมีช่วงขึ้นเนินยาวๆแค่ช่วงเดียว ซึ่งความเร็วก็ลดลงไปบ้างตามกฏของความโน้มถ่วง แต่พอลงลงเนินอีกด้านของเนิน500(ชาวบ้านเรียกแบบนี้)
ก็ได้ถือโอกาสผ่อนพักขาปล่อยให้รถไหลไปตามแรงกราวิตี้จนเสือหมอบปั่นตามมาเกือบทันในระยะห่างประมาณ100เมตร ตระหนักดีว่าอีกไม่เกิน 1 กิโล เสือภูเขาคงหมดแรงต้องปล่อยให้เสือหมอบปั่นแซงไปอย่างแน่นอน
ดูเหมือนเสือหมอบจะยอมออมมือไม่แซงเป็นการไว้หน้าผู้สูงวัยกว่า เสือภูเขาก็เลยได้ใจปั่นต่อโดยไม่ยอมลดความเร็ว จนมาถึงจุดนัดพบที่สถานีบริการน้ำมันเชลล์ตรงทางแยกเข้าสนามบิน(เส้นเก่า)ตรงบ้านหมากปรก
เสือภูเขามาถึงจุดนัดพบก่อนเสือหมอบแต่ก็หอบเหนื่อยจนหายใจแทบไม่ทัน น้ำในกระติกยังเหลืออีกค่อนครึ่ง แต่ก็ขยักไว้ดื่มระหว่างทางก่อนจะถึงจุดพักข้างหน้า ระหว่างจอดคอยก็ถือโอกาสพักปอดพักขา คิดว่าจะกระเซ้าเสือหมอบสักหน่อยว่าทำไมเสือหมอบจึงไม่ยอมวิ่ง เอาแต่หมอบแล้วเมื่อไรจะถึงภูเก็ต
พักแค่ 5 นาทีก็หายเหนื่อยพร้อมจะไปต่อแต่เสือหมอบเจ้าปัญหายังมาไม่ถึง สงสัยว่าทำไมเสือหมอบยังมาไม่ถึงจุดนัดพบเสียที เกิดอะไรขึ้น หรือว่าเสือหมอบปั่นเลยจุดนัดพบไปแล้ว ฯลฯ และ ฯลฯ ประดังเข้ามาในหัว
คอยอยู่สักพักใหญ่ก็เริ่มจะวิตกทนรอต่อไปไม่ไหว ต้องทำอะไรสักอย่าง เวลาช้าขนาดนี้ต้องเกิดเหตุอะไรสักอย่างเป็นแน่ รถอาจจะมีปัญหายางรั่วหรือไฟหน้าไม่ติดหรือคนปั่นเป็นตะคริวปั่นต่อไม่ไหว เมื่อไฟท้ายเสือภูเขายังกระพริบอยู่ก็ไม่รู้จะรอไปทำไม จับรถขี่ย้อนศรกลับเส้นทางเดิมไปตามหาทันที คิดในทางที่ดีว่า รถอาจจะยางรั่วอยู่ข้างหน้าไม่ไกล แต่กิโลแล้วกิโลเล่าที่ขาต้องปั่น ตาก็ต้องคอยสังเกตุรถที่แล่นสวนมา มีรถสวนมาหลายคัน ทำใหารู้ทันทีว่าการปั่นกลางคืนมีอันตรายทุกย่างก้าว ไฟหน้ารถที่สวนมาส่วนใหญ่มีขนาดใหญ่กว่าไฟจักรยาน เลยกิโลที่4ไปแล้วรถแล่นสวนมาด้วยความเร็วไม่ขาดสาย ต้องแอบข้างขอบทางตลอด มองยังไงก็ยังไม่เห็นเสือหมอบปั่นสวนมาสักที
ยิ่งกังวลมากเท่าไดเท้าก็ยิ่งปั่นหนักและเร็วขึ้นอย่างลืมเหนื่อยเท่านั้น เมื่อคำนวณระยะทางตามพิกัดของจุดที่แยกทางกันครั้งสุดท้ายแล้วรัศมีไม่น่าจะเกิน 10 กิโล ถ้าเกิน 10 กิโลแล้วยังหาไม่พบจะทำยังไง แล้ว ความคิดด้านลบเริ่มมาสะกิดสีข้างว่าปั่นมาร่วม5 กิโลแล้วก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะพบ เริ่มจะเห็นว่าการปั่นกลางวันท่ามกลางแดดเปรี้ยงๆแม้จะร้อนแต่มันก็ปลอดภัยกว่าการปั่นกลางคืนเป็นไหนๆ ไม่ต้องมาลำบากเหมือนตอนนี้ ..อ้าว.. ก็ไหนบอกว่าปั่นกลางคืนสบายกว่าทำไมตอนนี้มากลับข้างกันเสียแล้ว..แต่ผมคงไม่มีเวลาไปโต้เถียงกับเจ้ามโนสำนึกเหลวไหลที่มักจะคอยซ้ำเติมจนผมรู้สึกแย่อยู่เสมอ
การปั่นกลางคืนครั้งนี้เป็นทริปแรกและเป็นระยะทางสั้นๆสำหรับผม โชคเข้าข้างที่ไม่มีเหตุร้ายเกิดขึ้นในทริปนี้ ผมเห็นเด็กหนุ่มยืนอยู่ริมถนนข้างหน้าไม่ไกลภายใต้เงาแสงไฟที่ค่อนข้างสลัว มีเจ้าเสือหมอบคันแสบจอดสงบอยู่ข้างๆ เขากำลังคอยให้ผมกลับไปกู้ภัยอย่างใจเย็นและเชื่อมั่นว่าผมต้องกลับมารับเขา โทรศัพท์เขาก็ไม่พกติดตัว หมวกกันน็อคก็ไม่ใส่ ทั้งเนื้อทั้งตัวไม่มีอะไรเลย ช่างบังเอิญและโชคดีที่ยางเสือหมอบมารั่วในเขตชุมชน มีแสงสว่างพอให้เป็นที่สังเกตุเห็น ผมโล่งใจเหมือนยกภูเขาลูกย่อมๆออกจากอก ไม่ต้องถามอะไรกันมากเพราะความปลอดภัยคือคำตอบ มันเป็นทั้งรางวัลและบทเรียนเพียงพอสำหรับการปั่นกลางคืนทริปนี้
การมีอุปกรณ์ปะยางและเครื่องสูบลมอยู่พร้อม ทำให้ปัญหาที่ดูเหมือนใหญ่กลายเป็นปัญหาเล็ก ผมลงมือปะยางโดยมีนักปั่นเสือหมอบเจ้าปัญหาคอยส่องไฟให้ มันแล้วเสร็จในเวลาแค่ยี่สิบนาที เรากล่าวขอบคุณเจ้าของบ้านที่เอื้อเฟื้อสถานที่และให้ความช่วยเหลือด้วยดีก่อนปั่นกลับไปยังจุดนัดพบด้วยกัน ทั้งเสือภูเขาทั้งเสือหมอบต่างสิ้นลายเสือเพราะความเหนื่อยและล้าด้วยกันทั้งคู่ ผมตกผลึกในความคิดทันทีว่าการปั่นจักรยานคนเดียวตอนกลางคืนนอกจากจะเหงาแล้วยังอันตรายมากอีกด้วย
การปั่นทริปนี้จบลงที่40กิโลส่วนผมที่ต้องเป็นหน่วยกู้ภัยจำเป็นก็จบทริปที่50กิโล ถือว่าทริปนี้จบไม่สมบูรณ์ ก็ต้องว่ากันใหม่อีกครั้ง จะเมื่อไรที่ไหนก็ต้องไม่ใช่การปั่นตอนกลางคืนอีกแล้วเพราะอุปสรรคมันมากเกินกว่าที่คิดไว้ มีทางเลือกทางเดียวสำหรับผมคือยอมรับความจริงว่าผมยังมีความสามารถแค่ปั่นตอนกลางวันเท่านั้น ต้องเลิกคิดเองแบบฝันกลางแดด หันมาหาความจริงกับทริปกลางวันใหม่ๆทั้งระยะกลางและระยะไกลที่รอให้ไปปั่นอีกมากไม่เห็นว่าจะมีความจำเป็นต้องมาปั่นตอนกลางคืนเลย แต่ปีนี้ฤดูการปั่นทริปทางไกลใกล้จะหมดลงแล้ว ฝนแรกน่าจะมาถึงภูเก็ตตอนกลางพฤษภาคมที่จะถึงนี้ คงจะมีโอกาสได้ปั่นระยะใกล้ๆในเกาะ ฝนภูเก็ตไม่ว่าฝนแรกหรือฝนไหนมันจะตกโดยไม่บอกกล่าวเสมอ...สมกับที่เป็นเกาะจริงๆ