วันพุธที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2558

หยุดหลายวันจะไปไหนดี( The call of the heart )

 


     วันหยุดช่วง 1 พฤษภาคม 2558 ปีนี้ ได้หยุดกึ่งสั้นกึ่งยาว 5 วันตามที่รัฐบาลมอบให้ กำลังคิดว่าจะไปไหนดี ตอนแรกคิดจะไปกรุงเทพฯเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศจากความจำเจที่ภูเก็ตไปสัมผัสสิ่งแปลกหูแปลกตาดูสักหน่อย แต่พอคิดๆไปแล้ว ถ้าไปกรุงเทพฯก็ต้องใช้เวลาเดินทางไป-กลับ ร่วม 24 ชั่วโมง(ที่ไม่นิยมบินเพราะแพง) 

    อีกอย่าง ด้วยอุณหภูมิเดือนพฤษภาคมที่กรุงเทพฯ อากาศร้อนสาหัสแค่ไหนก็เป็นที่รู้กัน สถานที่สิงสถิตย์ก็คงไม่พ้นไปจากรถไฟฟ้า(BTS) หรือไม่ก็ในห้างสรรพสินค้า ส่วนเวลาที่เหลือก็ที่ห้องพักสลับกับพื้นทีซาวน่าเสมือน(virtual )ที่ครอบคลุมกินอาณาบริเวณไปทั่วกรุงเทพฯ




     ที่จริงแล้ว ในเวลาปรกติ(ไม่ว่าฤดูไหน)ผมก็ไม่ค่อยมีเวลาปั่นจักรยานมากนัก จะมีโอกาสได้ปั่นเอาเต็มแรงก็เฉพาะในวันเสาร์เท่านั้น ส่วนวันอาทิตย์แม้จะเป็นวันหยุดของคนทั่วไปแต่สำหรับผม มันยังเป็นวันทำงาน ต้องเก็บแรงเอาไว้รับมือกับงานพิเศษในช่วงบ่าย(ตอน3โมงเป็นต้นไป)

    การลับฝีเท้าสัปดาห์ละ1วันดูไม่สมภูมิกับคำคุยโตว่าเป็น"นักปั่น"เอาเสียเลย ผมคิดว่าคนปั่นซาเล้งในกรุงเทพฯยังออกแรงปั่นมากกว่าผมเสียอีก ในระยะ 5 เดือนที่ผ่านมา(รวมวันป่วยเสีย2เดือน) ผมทำระยะทางรวมได้แค่ 1600 กิโลเมตรเศษเท่านั้น แบบนี้ถือว่า เข้าเกณฑ์เป็นนักปั่นมือสะออนเสียมากกว่า

     งั้นวันหยุดนี้ไปเจอกันที่ฝั่งพังงาแล้วกันจะได้ทดสอบตัวเองว่าร่างกายแกร่งพอไหมและถือโอกาสพิสูจน์ใจเลื่อนชั้นเสียสักหน่อยจะเป็นไรไป แต่การข้ามไปยังฝั่งพังงามันไกลจึงต้องมีกำลังขาที่เพียงพอในการประสานกับเสียงเพรียกในใจ(The call of the heart)ที่มุ่งมั่นเท่านั้น อย่างอื่นเป็นแค่ส่วนประกอบ

   



วันเสาร์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2558

เดี่ยว ระยะทางปืนสั้น

  อาจินต์ปัญจพรรค์ นักเขียนมือทอง ศิลปินแห่งชาติสาขาวรรณศิลป์ ปี 2534 เขียนอ้างถึงบันทึกของนักเดินทางต่างชาติในอดีตที่กล่าวถึงช่องแคบตรงสะพานสารสินไว่น่าฟังว่า
     
   อ้างถึง..บันทึกของ มองซิเออร์ เอเรต์ ผู้แทนบริษัทอินเดียตะวันออก ของฝรั่งเศสที่พูดถึงภูเก็ต ที่ปรากฏในประชุมพงศาวดาร เล่ม 26 ใน “เรื่อง เกาะภูเก็ตเกี่ยวกับประเทศสยามอย่างไร” เขียนที่เมืองภูเก็ต เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2229 (ค.ศ. 1686) ข้อความตอนหนึ่งกล่าวว่า

“ข้าพเจ้าจึงขอบอกให้ท่านทราบว่า เมืองภูเก็ต ซึ่งข้าพเจ้าอยู่ในบัดนี้นั้นเป็นเกาะเล็ก ๆ วัดโดยรอบยาวประมาณ 35 ไมล์ ตั้งอยู่ริมทะเลตะวันตก แหลมมะละกาห่างจากฝั่งประมาณ ระยะทางปืนสั้น และอยู่ระหว่าง 6และ 8 ดีกรีของลุติจูดเหนือ บนเกาะภูเก็ตเต็มไปด้วยป่าทึบมีสัตวืป่ามากมาย ตั้งแต่เสือ ช้างแรดและสัตว์ร้ายอื่นๆอีกมากมาย "




แค่ระยะปืนสั้น.. แค่นี้...แต่ก็ไม่กล้าจะว่ายข้าม

    ที่นำคำของอาจินต์มากล่าวอ้างก็เพื่อจะบอกว่า ผมก็เคยปั่นไปถึงสารสินมาแล้วครั้งหนึ่งแต่ไม่ได้ก้าวข้ามไปอีกฟาก เหลือระยะทางแค่เท่าระยะวิถีกระสุนปืนสั้นเท่านั้น แล้วผมก้ต้องรีบปั่นกลับด้วยเกรงใจแสงแดดยามสาย เพราะเหตุของความเป็นคนหนุ่มเหลือน้อย ในขณะที่ ป้าวี ผู้หญิงแกร่งชาวจักรยานคนหนึ่ง เธอกลับปั่นแบบสะบายๆจากซอยพะเนียงโดยทำเวลาแค่ 1ชั่วโมง 40 นาที  ดูเธอไม่รู้สึกสะทกสะท้านกับความร้อนจากแดดภายใต้ท้องฟ้าภูเก็ตเอาเสียเลย ในขณะที่ผม ผู้ชายอกเหี่ยวๆขนาด2ศอกกับอีกคืบครึ่ง ที่เริ่มปั่นจากอนุสาวรีย์ มาถึงสารสิน(32กิโลเมตร) แต่ต้องใช้เวลาเลยชั่วโมงไปตั้ง 5-6 นาที และผมก็มาถึงสารสินแบบหายใจทางจมูกแทบไม่ทันแต่ก็ยังดีที่ยังทันเวลาที่กำหนดไว้ในแผนการเดินทาง



ป้าวี ขอชูจักรยานแค่รักแร้ เพราะต้องเก็บแรงไว้เดี่ยวกลับภูเก็ต

   มาถึงสารสินแล้วพาลคิดไกลไปว่า อยากจะข้ามฟากต่อไปยังฝั่งพังงา ดูๆไปก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ แต่ปัญหาจริงๆอยู่ที่ไม่รู้ว่าจะจบทริปนี้อย่างไร เพราะมันนอกเหนือแผนการเดินทางที่กำหนดไว้



ฝั่งท่านุ่น..มอง เห็นฝั่งภูเก็ตอยู่ฟากตรงข้าม

     ขอฝากไว้ก่อน แล้วผมจะลุยเดี่ยวตั้งแต่เมืองภูเก็ตข้ามไปยังฝั่งพังงาเร็ววันนี้แหละ ตอนนี้ดูภาพเก่าๆทบทวนความหลังไปพลางๆก่อน


ปากบางท่าไทร ช่องออกของน้ำจืดในคลอง








     ภาพข้างบนทั้งสองภาพคือภาพหาดท่าไทรที่ผมมีแผนจะปั่นไปโดยจะเริ่มปั่นจากภูเก็ต ในระยะทาง 68 กิโลเมตรซึ่งเป็นระยะทางที่ไม่ใช่ปัญหาของนักปั่นขาเหล็กทั้งหลาย ส่วนขากลับ... นั่นละใช่...ตัวปัญหาของนักปั่นขาลีบเช่นผม

วันอาทิตย์ที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2558

รถแพง หรือจะสู้ แรงขา


    ผมซื้อเสือหมอบคันแรกแบบตัดสินใจเร็ว ตกลงซื้อภายใน 30 นาที เพราะชอบจึงซื้อไม่คิดอะไรมาก ยึดถือเอาความชอบส่วนตัวแบบดิบๆเป็นหลัก  ไม่เดินตามก้นความไร้เดียงสาทางข้อมูลแบบเด็กๆมาเป็นเกณฑ์ แค่มีล้อ มีเบรค รูปทรงไม่แหวกแนว และราคาไม่กระทบต่อกระเป๋าเกินไป แค่นี้คุณสมบัติก็ครบแล้ว

  รถแพงราคาพอเอื้อมถึงแต่ก็ยังสูงจนไม่กล้าสอย


ราคาเบาๆ แค่ 14 หมื่น


ดูใกล้อีกนิด 140 พัน ดูเท่าไรก็ไม่มีลุ้นว่าจะซื้อ


Reacto ราคา 60 พัน..แม้จะพอไหว ก็..ขอผ่านไปก่อน


Vow!!!!ราคานี้ ไม่ได้บอกผ่าน.แต่แค่ให้ดูเฉยๆ
      ....ขอพอแค่นี้ก่อน..กลัวสำลักน้ำลาย...........

   หลังซื้อ Merida Ride 100 มาแล้วจึงรู้ว่า มันเป็นรุ่นเล็กสุดในสายตาของนักเลงยี่ห้อ(หมายถึงราคาถูกที่สุด) เมื่อนำไปจอดเทียบกับใครก็ด้อยศักดิ์ศรีไปถนัดตา ไม่มีใครมาวิภากษ์(criticize)ให้เจ็บใจเพราะมันอยู่ต่ำกว่าเกณฑ์จนอยู่นอกคำวิจารณ์ เพราะคนที่ซื้อรถแบบนี้รุ่นนี้ ใครๆก็สันนิษฐานว่า มีปัญหาอยู่ 2 ประการคือ ถ้าไม่เบี้ยน้อย ก็ต้อง ด้อยประสพการณ์(ไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง) ส่วนตัวผม เข้าองค์ประกอบทั้งสองประการคือ เบี้ยไม่มากและเพิ่งเริ่มเล่นรถเสือหมอบ(หลังจากเล่นเสือภูเขามาแลัว 6 เดือน)

     ด้วยความที่ไม่ค่อยได้เข้าสังคมไปร่วมก๊วนสนทนากับใคร ความรู้เลยมีจำกัด คิดว่าจักรยานก็คือจักรยาน ไม่น่าจะมีอะไรแตกต่างกันมาก แต่เมื่อซื้อมาแล้วจึงรู้ว่า การปั่นเดี่ยวๆ นั้นสามารถทำได้แน่นอน แต่ไม่สามารถหาก๊วนเข้าอย่างมีศักดิ์ศรีได้(มันเกี่ยวกันตรงไหนหว่า)และจะปั่นตามเขาไม่ทัน

    งั้น...ลองมาดูรถที่มีศักดิ์ศรีกันหน่อย   
แบบนี้ ต้องแบกศักดิ์ศรีไปด้วยราคา 49,000




BMC SLR03   ราคาเบาๆ 54,000 เท่านั้น



Scultura400 เอื้อเฟื้อภาพโดย http://pantip.com/topic/32689029   29,990 ขาดอีก 10 บาท 30 พัน


       เมื่อจำเป็นต้องใช้ Merida Ride 100 ราคาหมื่นเป็นรถประจำตัว(เพราะดันซื้อมาแล้ว) ก็อดจะจิตตกไปเล็กน้อยไม่ได้ เมื่อได้ยินบางคนวิจารณ์ด้วยความเกรงใจว่า รุ่นนี้เป็นรุ่นขี่สบายแต่ไม่พุ่ง เพราะ จานหน้าขนาด 50ฟัน และจานหลัง11-32 ตีนผี SORA กับเฟืองหลัง 8ชั้นจานหน้า2ชั้นรวม 16 สปีด เป็นรุ่นสำหรับเด็กหัดปั่น..เอ๊า.เล่นใส่กันแรงแบบเบาๆ...หัดปั่นก็หัดปั่น ก็ผมเพิ่งหัดปั่นจริงๆ ก็เลยไม่โกรธแต่แอบเคืองแบบเงียบๆ และไม่กล้าคิดที่จะไปปั่นไล่กวดใคร  ขนาดใช้จานเล็กสุดบนทางเรียบ ผมยังทำความเร็วได้ไม่เกิน 45 กิโลเมตร/ชั่วโมง แบบนี้ก็แสดงว่า จานเล็กสุดของ Scultura 400 ที่จำนวนฟันเฟืองน้อยกว่า ก็คงไม่เหมาะกับผม ถึงจะมีมันมา ผมก็คงไม่ได้ใช้อยู่ดี



Ride 100 ราคาพอไหว(หมื่นปลายๆ) เป็นเฟรมซ่อนสายเสียด้วย ไม่เข้าใจ ของดีขนาดนี้ ทำไมไม่มีคนรัก


     ส่วนเจ้าจานหลัง(เฟืองใหญ่สุด)ขนาด 32 ฟันเฟือง ตอนขึ้นเนินชันๆมันก็ไม่ช่วยอะไรผมได้มากเลย ผมยังต้องลงมาเข็น(ด้วยแรงมือแรงขา)เป็นประจำ ผมเชื่อว่า ถ้าจำนวนฟันมันน้อยกว่านี้อีก ผมคงแบกมันขึ้นเนินแทนการปั่น ถ้ามันขี่ผมแทนที่ผมจะขี่มัน ผมก็คงตัดสินใจผิดที่ไปซื้อมันมา 

    แสดงว่าชุดตีนผี Shimano รุ่น105 ที่ทุกคนกล่าวขวัญถึง คงไม่มีประโยชน์สำหรับผมเลย มันคงไม่ได้ช่วยให้ผมเป็นนักปั่นระดับแนวหน้าได้ เพราะผมไม่ชอบขึ้นเนินชันๆยาวๆ ต่อให้ชุดเกียร์ดีแค่ไหน มันก็ช่วยอะไรผมไม่ได้..ขอบคุณตัวผมเองที่เผลอเลือก Merida Ride100 มาเป็นรถประจำตัว เพราะผมเคยทำความเร็วลงเนิน สูงสุดแค่ 58.13 กิโลเมตร/ชั่วโมง และไม่กล้าทำความเร็วสูงกว่านี้(ทั้งที่ยังทำได้อีก) กลัวตายครับ แค่นี้ก็พอแล้ว

 ลองมายลโฉม เจ้าลักเล่ ราคา 3000(ไม่ได้ตกศูนย์) ที่พาเจ้าของไปเหยียบไปลุยมาแล้วทั่วประเทศ แม้แต่ภูเก็ตบ้านเราก็ไม่ได้รับการยกเว้น


เจ้า "ลักเล่ " เทอร์โบ ราคา 3000 ลุยมาแล้วทั่วประเทศ



จอดทิ้งตรงไหนก็ไม่หาย ทั้งๆที่มันทำระยะทางมาแล้วเกินกว่า 3000 กิโลทั่วประเทศ




มองชัดๆ ....ตะลุยนั่งบนอานลักเล่ ฉายเดี่ยวไปทั่วประเทศ แล้วยังมาเรียกตัวเองอย่างเย่อหยิ่งว่า "นายกระจอก" เสียอีก





Credit :  from courtesy of  นายกระจอกนักลุยเดี่ยวจักรยาน


    



วันเสาร์ที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2558

ไปสารสิน


  มีคำแนะนำว่า......การไปสะพานสารสิน ต้องตื่นแต่เช้ามืด(ตี5เป็นอย่างช้า) แต่วันนี้...ตื่นตั้งแต่ตี4ครึ่งเพราะถูกปลุกด้วยท้องใส้ที่ปั่นป่วน..ในกะเพาะมีแก๊สคอยส่งเสียงร้องครวญครางรบกวนอยู่ตลอดเวลา(ท้องอืด)...สภาพร่างกายดูเหมือนไม่เหมาะที่จะไปสารสินคนเดียว..ตามที่โม้เอาไว้ในบทความก่อนหน้านี้เสียแล้ว..

    ตอนแรกคิดว่าจะระงับการไป(ตามคำแนะนำของความคิดด้านลบ) โดยอ้างสภาพร่างกายไม่เต็มร้อย..แต่ความคิดด้านบวกก็โต้แย้งว่า..

 ..ถ้ายอมถอยเพราะปัญหาเล็กๆแค่นี้..ชีวิตก็จะมีแต่การยอมแพ้ตลอด..เอาไงเอากัน..ไปเสี่ยงเอาดาบหน้าแล้วกัน...ลุย


เริ่มที่อนุสาวรีย์ ประมาณ 5:39

    จับเสือหมอบคู่ใจใส่ท้ายกะบะ ไปเริ่มต้นกันที่อนุสาวรีย์แล้วกันเพื่อระยะทางจะได้ลดลงมาและสามารถกลับทันก่อนที่แดดเดือนเมษาฯมันจะเผาจนแขนละลาย


    ออกจากอานุสาวรีย์ประมาณ 5:40 ปั่นไปคนเดียวด้วยความเร็วสม่ำเสมอสบายๆ เฉลี่ย 25 กิโลเมตรต่อชั่วโมงโดยแทบไม่หยุด(ได้พักตอนไฟแดงครั้งเดียว) ตอนช่วงทางแยกเข้าหาดในยาง ได้พบเพื่อนร่วมทางคันหนึ่งที่ปั่นค่อนข้างช้า..กล่าวคำทักทายและขอปั่นแซงล่วงหน้าไปก่อน 

    ระหว่างทางก็มีรถใหญ่เล่นผ่านหน้าไปประปราย สภาพท้องถนนยามเช้าค่อนข้างจะปลอดภัย การจราจรไม่แน่นหนาเหมือนช่วงเส้นทางระหว่างตัวเมืองกับอนุสาวรีย์

     ระหว่างจะถึงโค้งคอเอน(โค้งเจ้าปัญหา) มีนักปั่นหนุ่ม2คนปั่นแซงหน้าไปด้วยความเร็วกว่า 30 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ตอนแรกคิดว่าจะปั่นเกาะกลุ่มไปด้วย(คิดแล้วก็ตามไปได้ประมาณ 3กิโล) แต่ดูๆแล้วน่าจะเก็บแรงไว้ตอนขากลับดีกว่า..ต้องเชื่อภาษิตโบราณ "เห็นช้างถ่ายก็อย่าถ่ายตามช้าง"(คำสุภาพ)

    มาถึงหาดทรายแก้วเมื่อเวลา 6:54 ถือว่าทำเวลาได้ดีพอสมควร ใช้เวลา 1 ชั่วโมง กับ 9 นาที



หาดทรายแก้ว; นำ้เซาะตลิ่งจนใกล้ถนนเข้ามา ในทุกวันนี้




ชายหาดโล่งสวยงาม ไม่มีร้านอาหารเกะกะรกตา

    ว่าจะไปให้ถึงสะพานโดยไม่แวะหาดทรายแก้ว แต่ก็นึกเสียดายโอกาสเพราะขากลับจะไม่ผ่านทางนี้..ก็เลย...


คลื่นที่หาดทรายแก้ว


     แวะพักเหนื่อยหยุดพักขาที่หาดทรายแก้ว เข้าห้องน้ำกลางหาว(เยี่ยวข้างทาง-แปลตรงตัว)แล้วเก็บภาพทิวทัศน์ทะเลแบบ ดิบๆ..

   ดูๆแล้ว..ชายฝั่งทะเลตะวันตกของเกาะภูเก็ตโดยเฉพาะหาดนี้ ถูกน้ำทะเลกัดเซาะเข้ามาทุกปี จำได้ว่าเมื่อหลายปีก่อน ชายหาดห่างจากถนนมากกว่านี้..อีกหน่อยถนนคงจะถูกกัดขาดเหมือนที่สมิหรา สงขลา

   อยู่ที่หาดทรายแก้วประมาณ 10 นาที ก็รีบไปต่อที่สะพานสารสินที่เป็นจุดหมายปลายทางหลักทันที (เพราะกลัวจะร้อนแดดตอนกลับ)








    มองเห็น สะพานสารสินอยู่ข้างหน้า ก็ 7 โมงเช้าพอดี ไม่ได้ปั่นขึ้นสะพานใหม่เพื่อข้ามฝั่งเพราะไม่มีแผนที่จะข้ามฟากไปฝั่งพังงา(สงวนไว้ในโอกาสที่จะข้ามไปเที่ยวพังงาในอนาคตอันใกล้-คุยอีกแล้ว)..แต่มุ่งตรงไปที่จุดชมวิวบนสะพานเก่าทันที..แม้จะเคยแวะมาที่นี่หลายครั้งแต่ความรู้สึกครั้งนี้แปลกไป 

    มาครั้งนี้ไม่ได้เติมน้ำมันรถมาเต็มถัง..แต่ต้องเติมน้ำเปล่ามาเต็มท้อง...ไม่ได้มาด้วยความเร็วจากแรงจักรกลพลังฟอสซิล...แต่มาอย่างช้าๆด้วยพลังแรงข้าวต้มที่ถูกจัดสรรกำลังลงบน2ขา...แล้วปั่นมาเต็มแรง....

    ข้อจำกัดที่มี..ต้องเลี่ยงการปะทะกับแสงแดดและลมร้อนยามสายๆ.. ต้องคอยระวังอาการลมแดดจึงต้องคอยเติมน้ำหล่อเย็นให้ร่างกายอยู่ตลอดเวลา..นี่แหละ...ความรู้สึกของความแตกต่าง..



 บนจุดชมวิว มีเราอยู่เพียงคันเดียว
       7.06 บนจุดชมวิว สะพานสารสินเก่า

    มาถึงสารสิน ยังไม่เห็นนักปั่นคนอื่นบนสะพาน(จุดชมวิว) เห็นคนอยู่สองสามคนมาเดินชมสารสินเก่า กับคนตกปลาอีก2คน  แต่อีก 10 นาทีต่อมาเพื่อนร่วมอุดมการณ์จักรยานก็เริ่มทะยอยกันมาพร้อมกันบนจุดชมวิว 




พบเพื่อนใหม่ มาจากเมืองภูเก็ต...แข็งแรงกันทั้งนั้น



ถึงสะพานสารสินจนได้



   ได้ทักทายและทำความรู้จักกับเพื่อนร่วมทางบนสะพาน นักปั่นคนหนึ่ง เธอเรียกตัวเองว่าป้าวี (อาจจะพูดตามคำที่หลานๆเรียก) เป็นผู้หญิงที่แกร่งมากคนหนึ่ง เธอออกจากบ้านที่ซอยพะเนียง สามกองมาถึงสารสิน ใช้เวลา 1 ชั่วโมง 40 นาที กับระยะทาง 40 กิโลเมตรเป็นการทำเวลาได้ไม่เลวสำหรับนักปั่นผู้หญิง แล้วไหนก็ต้องปั่นกลับไปอีก นี่ก็ถือว่าสุดยอดนักปั่นหญิงอีกคน




ป้าวี ยืน Act ท่าบนสพานแค่ 15 นาที แล้วปั่นกลับทันที..อีก40กิโลเชียวนะ



     ทุกคนใช้เวลาอยู่บนจุดชมวิวประมาณ 15 นาที ก็หันมองหน้ากัน แล้วพยักหน้าเป็นที่รู้ความหมายว่า "เรากลับกันเถอะ" เพราะทุกคนต่างก็มีภาระกิจ แม้การอยู่ชื่นชมความสำเร็จแค่15นาทีที่ดูจะไม่คุ้มกันกับระยะทางที่ปั่นมาด้วยแรงสองขาถึง 40 กิโล แต่เราก็ตั้งใจมาเพื่อชนะตัวเองต่างหาก..เอาละ..เผยความลับดีกว่า..ทุกคนไม่อยากอยู่นานเพราะกลัวการปั่นฝ่าแดดเดือนเมษาตอนสายๆ..ผิวแทบละลายไปกับแสงแดดทีเดียว

     ...ได้เวลาเหนื่อยและผจญแดดกันแล้ว...

    เราออกปั่นกันที่ละชุด ชุดผมเป็นชุดสุดท้าย(ความจริงก็มีกันแค่ 2 ชุดเท่านั้นแหละ-แค่พูดให้ใหญ่เข้าไว้) ผมปั่นตามหลังป้าวี แบบสบายๆตามแก เราผ่านตรวจภูเก็ตแบบชิลชิล..มาจนเกือบจะถึงด่านหยิดอยู่แล้ว ผมนึกได้ว่า มีภาระกิจต้องรีบกลับ ก็เลยขออนุญาตุป้าวี ปั่นล้ำหน้ามาก่อน ..ด้วยเวลานัดที่กระชั้น(เพราะสายแล้ว) ก็เลยต้องอัดหนักกว่าขามานิดหนึ่ง กว่าจะถึงอนุสาวรีย์ ก็ต้องแวะกินน้ำถึง 2 ครั้ง ครั้งแรกที่ปัมป์ ปตท.เมืองใหม่ และครั้งที่สองที่ร้านสะดวกซื้อ 7-11 บ้านพอน



กินน้ำครั้งแรก ปตท.เมืองใหม่
แวะกินน้ำครั้งที่สอง ที่ 7-11 บ้านพอน



      ขณะที่ปั่นมาถึงหน้าปัมป์แก๊สคาลเท๊กซ์บ้านพอน-อนุสาวรีย์ฯ อาการปวดเข่าด้านซ้ายก็กำเริบขึ้น ทำให้ไม่สามารถเร่งความเร็วได้ ก็เลยโดนชุดหนุ่มขาแรงประมาณ 10 คัน ปั่นแซงไปด้วยความเร็วเกิน 35 กิโลเมตร/ชั่วโมง ด้วยความเร็วขนาดนี้ถึงขาผมจะไม่เจ็บ ผมก็จำต้องปล่อยเขาไปก่อนด้วยความเต็มใจ......เพราะความเร็วแบบยืนระยะขนาดนั้น...ผมทำได้ไม่เกิน 32 km/h.




AV 25 กับระยะทาง 63 กิโลเมตร



ทำระยะทางแค่ 63.13 กิโล ถือเป็นการเริ่มต้นที่ดี (เกินกว่านี้ไม่ดีแน่)



ใช้เวลา 2:30:03 ชั่วโมง...ก่อนสิ้นสภาพนักปั่น


   กลับถึงบ้านก็สะบักสะบอมพอสมควรกับการปั่นเกิน 60 กิโลเป็นครั้งแรก ที่ร้ายที่สุด..มันเป็นการปั่นแบบไม่เจียมสังขาร สรุปได้ว่า ครั้งนี้ได้รับผลลัพธ์  3 อย่าง คือ 
       1  เหนื่อย(แม้จะไม่มากนัก) 
       2  บาดเจ็บเข่าด้านซ้าย 
       3 ได้ความสะใจที่ทำได้ ถือเป็นการชนะตัวเองอีกครั้ง(แต่ปวดก้นชะมัด)



















วันพฤหัสบดีที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2558

เดี่ยวสารสิน#1

ลองเดี่ยว 86 กิโล กับ กำลังขาล้วนๆ กันดูหน่อย


บรรยากาศสะพานเก่าที่ไม่มีให้เห็นอีกแล้ว(ภาพนีถ่ายด้วยตัวเองด้วยกล้องราคาถูก)

    เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว(29 มีนาคม 2558) ได้ไปร่วมในรายการ "ปั่นกันหรอยปั่นกันหลาว " ไปกลับแหลมพรหมเทพ ที่ภูเก็ต ระยะทางร่วม 50 กิโล แต่เป็น ห้าสิบแบบเด็กๆ ความรู้สึกเหมือนมีพี่เลี้ยงคอยประคอง แถมมีอาหารให้กินก่อนออกตัวอย่างเหลือเฟือ มีเพื่อนร่วมทางหลายคันช่วยลาก ทำให้เบาแรงลงไปเยอะ แล้วยังไม่วายมีเจ้าหน้าที่คอยอำนวยความสะดวกตลอดเส้นทางที่ขี่ผ่าน ข้อสำคัญ มันเป็นเส้นทางที่คุ้นและ เคยไปมาแล้วมากกว่า 1 ครั้ง(แต่ก็เหนื่อยคงที่ทุกครั้งไม่เคยเปลี่ยน) ทำให้ไม่มีความรู้สึกอิ่มกับความท้าทาย

     พรุ่งนี้ ได้เวลาไปทักทายสังขารตัวเองกับสถานที่ใหม่ที่ไม่เคยปั่นไปด้วยกำลังขาตัวเองมาก่อน ขอไปหาคำตอบว่ายังไหวไหม..ข้อสำคัญ อยากเคลียร์ปัญหากับความหลง(ตามอายุที่มากขึ้น)ที่มันคอยหลอนว่า เราเคยปั่นผ่านบ้านคอเอนมาครั้งหนึ่งแล้ว มันช่างหลอนได้เหมือนจริง จนต้องคอยตรวจสอบสติตัวเองเพื่อให้แน่ใจว่าตัวเรายังอยู่เป็นปรกติสุขเหมือนคนทั่วไปเขา(ไม่บ้าไปแล้ว) กว่าจะสรุปได้ว่า มันไม่ใช่เรื่องจริง ก็ต้องทบทวนอยู่เป็นเวลานาน สรุปแล้ว ผมไม่เคยไปที่นั่นมาก่อน แต่พรุ่งนี้แหละ ถึงเวลาจัดการกับสิ่งที่เคยสับสนอยู่ในกะโหลกให้มันออกไปเสียที จะได้เลิกสงสัยหายคิดเอง แล้วจะโกนใส่หูตัวเองว่า

            "กูเคยปั่นรถถีบไปที่นั้นมาแล้วโว้ย "